หากเราลองค้นหาคำว่า Micro ผ่าน google ดูแล้ว เราจะพบว่า Micro แปลว่าสิ่งเล็กๆ อนู สั้นๆ หรือ สิ่งที่เล็กกว่าปกติ ช่วงเวลาสั้นๆและสำหรับในโลกดิจิตัล ในช่วงปี 2017 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ คำว่า “Micro” ถูกนำมาใช้กันมากขึ้นและแสดงผลลัพธ์ออกมาผ่านสื่อต่างๆได้อย่างเกินคาดไม่ว่าจะเป็น …

1.Micro Influencers

ประมาณ 5 ปีที่แล้วเราจะได้ยินการเปลี่ยนแปลงจากคนที่เป็นตัวแทนของแบรนด์ที่เรียกว่า Presenter มาเป็น Influencers หรือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ เริ่มต้นจากการยึดครองพื้นที่ Social Media โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นทำให้คนธรรมดา เริ่มต้นกลายเป็นคนที่สามารถแสดงความคิดเห็นเป็นผู้นำทางความคิด ผู้นำของการตัดสินใจสำหรับการซื้อได้อย่างทันที รวมถึงการครอบครองสื่อที่มีอำนาจกว่าสื่อแบบ Mass Media อีกด้วยแต่การเกิดของ Influencers ก็ยังคงเป็นการสื่อสารในแบบฉบับของ B2C หรือ Business to consumers อยู่ดี เรียกว่าเป็นการสื่อสารจากแบรนด์ไปสู่ลูกค้า หรือ One way Communication ซึ่งดูจะขัดกับความต้องการ หรือ Want ของ ผู้บริโภคในยุคนี้โดยสิ้นเชิง เพราะผู้บริโภคยุคนี้ต้องการมากกว่า two way communication หมายถึง นอกจากการฟังแบรนด์พูดแล้ว พวกเขาต้องการเป็นหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงที่สามารถแสดงความคิดเห็น ต่อสินค้าของแบรนด์ได้โดยตรง

เขาต้องการนำเสนอความคิดใหม่ๆ ที่คิดว่าแบรนด์จะปรับปรุงและพัฒนาได้
เขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของแบรนด์

อีกช่องทางในการสื่อสารที่เพิ่มขึ้นมาเป็น thrid way communication คือการสื่อสารจากผู้บริโภคถึงผู้บริโภคด้วยกัน

เพราะประสบการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้น และ ถูกพิสูจน์แล้ว เห็นภาพได้ชัดเจน มีหลักฐานการยืนยันจากวิดีโอ บวกกับการใช้ภาษาเดียวกันกับผู้บริโภค คือการสื่อสารได้ตรงกับส่วนสมองของมนุษย์ทำให้กระตุ้นเกิดความต้องการและความเชื่อ ได้มากกว่าการใช้พรีเซนเตอร์มาพูด เพราะผู้บริโภคก็ไม่ถือว่าพรีเซนเตอร์เข้าใจชีวิตของพวกเขาจริงๆ

และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไม Micro Influencers หรือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ขนาดจิ๋ว แต่พลังไม่จิ๋ว ดูน่าเชื่อถือว่า และสามารถสร้างผลลัพธ์ทางการขายได้มากกว่า เพราะพวกเขามี

1.ความเป็นพวกเดียวกันกับผู้บริโภคด้วยกัน

2.Micro Influencers ใช้ภาษาเดียวกับผู้บริโภค

3.Micro Influencers เข้าใจ Pain ของผู้บริโภคจริงๆ

4.Micro Influencers รีวิวตามหลักความจริงมากกว่าการใช้สื่อโฆษณา

5.Micro Influencers เริ่มผลิตสื่อที่แตกต่างจากที่เคยเห็น

เรียกว่าหลักการ Same Team But Different & New Content ค่ะ

2.Micro Moment

คำว่า Micro Moment คือช่วงขณะเวลาที่ผู้บริโภคเกิดความยาก ตัดสินใจค้นหาผ่านออนไลน์เลยทันที ค้นหา และ ตัดสินใจซื้อเลยทันที ซึ่งจะต่างจาก ZMOT( Zero Moment of Truth) โดยสิ้นเชิง

เพราะ ZMOT คือช่วงจังหวะเวลาที่ผู้บริโภคถูกกระตุ้นด้วยสื่อออฟไลน์ต่างๆ หลังจากนั้นทำการค้นหาบนโลกออนไลน์ถึงลักษณะ ชื่อ รีวิวสินค้านั้น และ ไปค้นหาผ่านช่องทางร้านค้าแบบออฟไลน์ และจบด้วยการพบประสบการณ์จริงของการบริโภคสินค้านั้นๆ

สำหรับ Micro Moment คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจาก ZMOT เมื่อผู้บริโภคค้นพบว่ามีหลายต่อหลายครั้งที่ซื้อสินค้ามาแล้วมาใช้งานจริง ไม่ได้เป็นไปตามสื่อพูดไว้ จึงเกิดการผลิตคอนเทนต์ด้วยตัวเองผ่านโลกออนไลน์ และทำให้มีการศึกษาหาข้อมูลที่เยอะขึ้นเพราะฉะนั้นแล้วเราจะเห็นได้ชัดเจน ว่า ณ ขณะนี้เวลาที่เราจะตัดสินใจซื้ออะไรเราจะพิมพ์ชื่อสินค้า / แบรนด์ เว้นวรรค และตามด้วย Pantip อีกที

และหากคนในพันทิปบอกว่าดี เราจะเริ่มค้นหาร้านนั้นๆ ในออนไลน์อีกครั้งสั่งซื้อเลยทันที ไม่ต้องรอไปหน้าร้านแบบออฟไลน์อีกต่อไป

สำหรับ ธุรกิจไหนที่ไม่ได้เตรียมตัวรองรับการค้นหาของผู้บริโภคในยุค Micro Moment ก็จะเสียโอกาสให้กับคู่แข่งได้แบบน่าเสียดายเลยทีเดียว

3.Micro Gadget

ความจริงเราอาจจะยังไม่เห็นผลชัดมากนักเกี่ยวกับ Micro Gadget แต่ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเราก็จะเห็นว่าเริ่มมี iwatch ของ Apple , Gear จาก Samsung ออกมา เพื่อใช้งานในการสื่อสารแบบติดกับร่างกายแล้ว ไม่ต้องใช้มือจับ

บวกกับกระบวนการการรวบรวมข้อมูลเข้าระบบ Big Data มีการพัฒนาเทคโนโลยีถึงขณะที่เมื่อเราเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วจะมีระบบสแกนใบหน้าของเรา เราสามารถหยิบสินค้า

เดินออกจากร้านค้าได้เลย เพราะระบบได้ทำการตัดเงินจากบัญชีเรียบร้อยแล้ว และคำว่า Micro Gadget ก็จะค่อยๆเปลี่ยนไปเป็น Invisible Gadget มากขึ้น

4.Micro Advertising

โฆษณาจะถูกแฝงเข้าสู่ ทุกก้าวของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Social Media ที่เรารู้สึกว่าเป็นพื้นที่ที่สนุกกว่าการนั่งรอโฆษณาบนทีวี เราพยายามหลีกเลี่ยงโฆษณาจากสื่อโทรทัศน์ แต่ ณ? ตอนนี้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป เรียกว่าเราอาจจะได้รับโฆษณาผ่าน gadget ต่างๆ โดยที่เราอยากหรือไม่อยากเห็นก็เป็นได้
เรื่องนี้พบเห็นได้ชัดเจนจากชีวิตประจำวันของเราทุกคน

5.Micro Content (Make video content shorter than usual)

สองปีที่แล้ววิดีโอเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ยอดการเติบโตของการดูคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอ

สถิติจาก Cisco Visual Networking Index Forecast ได้กล่าวไว้ว่าข้อมูลคอนเทนต์ที่ผ่านบนมือถือกว่า 75% จะถูกนำเสนอในรูปแบบของวิดีโอ

คนดูวิดีโอเยอะขึ้นเพราะวิดีโอเป็นคอนเทนต์ที่เข้าถึง และ เข้าใจง่าย คลิกเข้าไปอ่าน บางคนให้วิดีโอผ่านตา อันไหนน่าสนใจก็ค้างหน้าจอไว้ ไม่เปิดเสียง ดูอ่านซับไตเติ้ล และสมัยนี้วิดีโอที่สามารถทำให้คนเข้าใจได้ภายในเวลาอันสั้นกลับกลายเป็นที่นิยมกว่าวิดีโอยาวๆ อีกเหตุผลหากพูดถึงการสื่อสารคอนเทนต์ถึงสมองของมนุษย์เป็นเพราะวิดีโอ ประกอบไปด้วยภาพเคลื่อนไว สีสัน เสียง ความรู้สึกของตัวละคร ทำให้สามารถเข้าถึงสมองมนุษย์ได้เร็วกว่าสื่อสาร ผ่านทางภาพนิ่ง

การอ่าน Blog ก็ต้องเอา Visual Content มาตัดทุกๆ 5 บรรทัดเพื่อให้รู้สึกว่าอ่านง่ายขึ้น สบายตามากขึ้นยิ่งกระชับ ยิ่งอ่านง่าย สั้นไม่ว่าแต่ขอเร็วและเข้าใจง่ายเป็นพอ

รวมไปถึงการพัฒนา Blog ให้กลายเป็น Vlog หรือการบันทึก Blog ผ่านสื่อวิดีโอแทน

6.Micro Currency

ค่าเงินที่จับต้องได้จะเล็กลงๆ เพราะเราจะเริ่มไปใช้เงินบนโลกดิจิตัลมากขึ้น…คนจะเริ่มใช้เงินสดน้อยลง ตามยุคของ Cashless , Paperless … ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน และ สิงคโปร์ การไม่พกเงินสดออกจากบ้านเริ่มจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปเพราะร้านค้า ธุรกิจต่างๆ ก็รองรับการชำระเงินผ่านระบบ Internet Banking บ้าง รวมไปถึงการชำระเงินผ่านระบบ Messenger , Social Media อีกด้วย

เพิ่มเติม : triple9media.com